เสรีภาพ

ถึง ลูกรัก

พ่อติดตามข่าวที่ลูกเรียกร้อง”ประชาธิปไตย”และ”เสรีภาพ”แล้ว พ่อรู้สึกแปลกใจ ที่เราอยู่กันมาตั้งแต่ลูกเกิด ทนุถนอมอบรมมาอย่างดี แต่ลูกกลับไปเชื่อ”ใครก็ไม่รู้” ที่ไม่เคยแม้แต่จะให้เงินลูกสักบาท ให้กินข้าวสักจาน จนลืมคำสั่งสอนของพ่อแม่ แต่อย่างไรก็ดี พ่อเคารพความคิดเห็นของลูกเสมอ จะไม่ตำหนิติติงอะไร แต่จะปรับตัวประพฤติปฏิบัติให้ดีขึ้นตามที่ลูกต้องการ ดังนั้น พ่อกับแม่จึงคิดว่า ถึงเวลาที่เราควรจะทบทวนปรับตัวให้เข้ากับ”เสรีภาพ”ตามที่ลูกต้องการ พ่อจึงอยากจะแจ้งให้ลูกทราบดังนี้

1.บุญคุณต่อกัน คงไม่มีตามที่ลูกบอกว่า ลูกเกิดมาเพราะความสนุกของพ่อแม่ จึงไม่มีบุญคุณต่อตัวลูก ไม่ว่าจะเป็นการอดหลับอดนอนเลี้ยงดู ข้าวปลาอาหาร และอื่นๆที่เคยหยิบยื่นให้ ซึ่งทั้งหมดนั้นพ่อและแม่ไม่คิด ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบแม้ลูกจะไม่เต็มใจก็ตาม

2.ค่าใช้จ่ายที่พ่อเคยให้ลูกใช้ในแต่ละเดือนนั้น พ่อคิดว่ามันเป็นการละเมิด”สิทธิเสรีภาพ”ของพ่อ เพราะเงินที่หามาได้นั้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อ พ่อจึงควรมี”สิทธิเสรีภาพ”ในการจับจ่ายใช้สอยโดยไม่ควรให้ลูกละเมิดสิทธิ์ของพ่อโดยการนำเงินของพ่อไปใช้ ดังนั้น พ่อจะตัดค่าใช้จ่ายที่เคยให้ลูกลงครึ่งหนึ่ง โดยในส่วนที่เหลือ เป็นการทำหน้าที่ในฐานะ”บุพการี”ที่รักสนุกจนทำให้ลูกเกิดมา ถือว่าเราใช้”สิทธิเสรีภาพ”ในขอบเขตของแต่ละคนตามที่ลูกต้องการ

3.ค่าที่พัก จริงๆแล้ว บ้านเป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อกับแม่โดยมีลูกเป็นผู้อาศัย หรือเปรียบดังผู้เช่าที่สมควรจะเสียค่าเช่า ซึ่งตลอดมา ลูกไม่เคยจ่ายค่าเช่าเลยแม้แต่บาทเดียว รวมทั้งค่าน้ำค่าไฟก็ไม่เคยเสีย แต่ไม่เป็นไร พ่อยินดีให้อยู่ฟรีๆ แต่จากนี้ เราต้องเคารพ”สิทธิเสรีภาพ”ตามที่ลูกแสวงหา ดังนั้น ในเมื่อลูกใช้น้ำใช้ไฟที่พ่อไม่ได้ผลิตเอง แต่ซื้อมา ลูกจึงต้องรักษาเสรีภาพด้วยการ”ใช้เอง จ่ายเอง”ทั้งค่าน้ำค่าไฟ จะได้เท่าเทียมกัน เพราะพ่อกับแม่ก็ใช้เอง จ่ายเอง อย่างเสมอภาคเช่นเดียวกัน

4.อาหารการกิน เพื่อให้มีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค และเพื่อให้ทันสมัยตามที่ลูกต้องการ นับจากนี้ พ่อกับแม่จะหันไปสั่งอาหารฟู๊ด แพนด้ามากินตามที่พ่อและแม่อยากกิน ส่วนลูกจะกินอะไร ก็แล้วแต่เสรีภาพของลูก โดยขอให้จ่ายเงินเองเพื่อความเสมอภาค หรือต้องการหุงหากินเอง ก็ใช้สิทธิ์ได้เต็มที่เพราะแม่เตรียมเอาไว้ให้แล้วในครัวโดยไม่คิดเงิน

5.เรื่องมรดก เพราะเราไม่มีบุญคุณต่อกัน ดังนั้น ลูกไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเป็นภาระเลี้ยงพ่อแม่ยามแก่เฒ่า ขอให้ลูกเดินตามความฝันที่ลูกต้องการ เพราะอีกไม่นานพ่อกับแม่ก็คงตายแล้วตามที่ลูกๆด่าทอ และเพื่อตายอย่างสงบและไม่ให้เป็นภาระของลูกๆ พ่อจึงจัดการมรดกที่พอมีของพ่อ ทั้งบ้านและที่ดิน ตลอดจนทรัพย์สินอื่นๆ พ่อจะเริ่มทยอยขายให้หมดก่อนพ่อตาย โดยเงินที่ขายมาได้นี้ พ่อจะแบ่งให้ลูกครึ่งหนึ่งในฐานะบุพการี ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง พ่อและแม่จะเก็บไว้กินไว้ใช้ รวมทั้งเอาไว้จัดงานศพ ส่วนที่เหลือจากจัดงานแล้ว ถือว่าเป็น”สิทธิเสรีภาพ”ของพ่อ พ่อจึงขอถวายวัดไปเพื่อสั่งสมบุญไปใช้ในภพหน้า

6.พ่อจะไม่บั่นทอนกำลังใจของลูกในการตามหา”เสรีภาพ”ในฝันตามที่ถูกสร้างวิมานไว้ แต่อยากให้ลูกคิดให้จงหนักว่าคนที่เขาวาดฝันให้ลูกนั้น เขามาเสี่ยงตายกับลูกหรือไม่ แต่สำหรับพ่อและแม่แล้ว หากลูกเป็นอะไรไป พ่อกับแม่คงใจสลายเพราะความรัก ซึ่งแม้จะเป็นความรักที่ลูกไม่เคยเห็นค่าเลยก็ตาม พ่อจึงขออวยพรให้ลูกปราศจากอันตรายทั้งปวง

7.เรื่องสุดท้าย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน ต่อจากนี้ ลูกจะเรียกพ่อกับแม่ว่า”คุณ”เฉยๆก็ได้นะ ส่วนพ่อกับแม่จะขออนุญาตเรียกลูกว่า”ลูก” ตลอดไป

[#ด้วยรักและหวังดี]

จาก พ่อไดโนเสาร์ตัวหนึ่ง

Cr. เพื่อนทาง facebook

ทัศนะคติในการสอนลูกของอาจารย์เฉลิมชัย…

ทัศนะคติในการสอนลูก
ของอาจารย์เฉลิมชัย…

กับลูกสอนประจำว่า “จงมีความสุข”
ไม่มีคำสอนอะไรที่มากกว่านี้
ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม
ให้เขาทำทุกอย่างที่เขามีความสุข
แต่ไม่ต้องเบียดเบียนใคร

ทุกวันนี้สังคมไทย
ชอบพอกพูนกิเลสให้แก่ลูก
เด็กถูกพ่อแม่ ถูกสังคม ยัดกิเลสให้
ไม่รู้จักพอ อยากได้ อยากดี อยากเด่น
อยากทุกอย่าง

แต่เราหยิบยื่นความสุขให้แก่ลูก
บอกเขาว่า ..ไม่ต้องเคร่งเครียด
ในการเรียนมาก ไม่เคี่ยวเข็ญ

ลูก ไม่จำเป็นต้องได้ที่หนึ่ง
แต่จงเรียนอย่างมีความสุข
ให้ผ่าน ให้รอดพอ

ข้างหน้าจะเป็นยังไง
ลูกไม่ต้องใฝ่ฝัน
ไม่ต้องอยากเป็นหมอ
ไม่ต้องอยากเป็นอะไร
ที่คนอื่นเขาอยากเป็น

ลูกจงถามใจของตัวเองว่า..
ลูกปรารถนาอะไรที่เป็นความสุข
แล้วจงทำสิ่งนั้น

ลูกไม่ต้องไปสนใจว่า ..
อาชีพอะไรที่ทำให้ลูกร่ำรวย
อย่านึกถึงความร่ำรวย

จงนึกถึงความสุขในใจของตัวเอง
แล้วจงทำมัน ได้เงินน้อยไม่เป็นไร
แต่ความสุขมีค่ามากกว่า

จงแสวงหาเงินเพื่อเลี้ยงชีวิต
ให้มีความสุข แต่ไม่ใช่แสวงหา
ความร่ำรวยแล้วทุกข์เสียชาติเกิด

ขอขอบคุณ :รัฐพล วงศ์ไตรรัตน์

ไม่หมดของสวย

“#มันก็ไม่หมดของสวยหรอกลูก” “สมถะไม่ใช่ขี้เหนียว”

วันนี้นอนดึก เพราะตั้งใจเย็บตะขอกระโปรงให้คุณลูก
เธอโตขึ้นมาก เมื่อหัวค่ำเธอขอซื้อชุดนักเรียนใหม่เพราะกระโปรงที่เพิ่งซื้อให้เมื่อกลางเทอมที่แล้วคับไปแล้ว
จึงให้เธอลองสวมกระโปรงตัวเก่าดู รูดซิปแล้วก็ยังใส่ได้ บอกเธอว่า “เดี๋ยวพ่อจะขยับตำแหน่งตะขอนิดหน่อยก็ใช้ได้แล้ว ให้เธอไปอาบน้ำรีบเข้านอน เพราะต้องไปโรงเรียนแต่เช้า” เธอดีใจ บอกว่างั้นไม่ต้องซื้อก็ได้ค่ะพ่อ..

ไม่เคยรู้สึกซาบซึ้งในคำสอนของแม่จนกระทั่งถึงวันที่เรามีลูก สิ่งที่เราทำให้ลูกในวันนี้ ทำให้ย้อนคิดถึงคำสอนของแม่ตอนเด็กๆ เราไม่เคยเข้าใจแม่เลยว่าทำไมจึงไม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆให้เรา ทั้งๆที่แม่ก็ซื้อให้ได้ เมื่อกางเกงคับ ทุกครั้งที่ร้องขอ แม่ก็มักจะบอกว่า “ชุดเก่าก็ยังใช้ได้อยู่เลย เดี๋ยวแม่ขยับตะขอให้นิดหน่อยก็ใส่ได้แล้ว” ตอนนั้นคิดเป็นอย่างเดียว #ทำไมแม่ขี้เหนียวจัง?
เมื่อเวลาออกไปไหน อยากได้อะไร เมื่อรบเร้าจะให้แม่ซื้อให้ แม่มักจะบอกเสมอว่า “ต่อให้แม่ซื้อให้ #มันก็ไม่หมดของสวยหรอกลูก”
ตอนนั้นยอมรับว่าโกรธแม่มาก และไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องพูดว่าของสวย ก็ในเมื่อมันไม่ได้สวย แต่เราแค่คิดว่าเราต้องการสิ่งนั้น และต้องเอาให้ได้..

เมื่อเราโตขึ้น หาเงินใช้เองได้ คำพูดของแม่ “…มันไม่หมดของสวยหรอกลูก” ก็แว่วในหูทุกครั้ง แข่งกับคำว่า “#ของมันต้องมี” และหลายครั้ง คำว่า “#ของมันต้องมี” มักจะชนะคำพูดของแม่ และสุดท้าย เราก็ได้สิ่งนั้นมาครอบครอง
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน กลับมี #สิ่งนั้น รุ่นใหม่กว่า สวยกว่า ฟังชั่นมากกว่า ดีกว่า วางขายตามมาทุกครั้ง

จนกระทั่งวันหนึ่งเรามีลูก สิ่งที่ลูกร้องขอจากเรา เป็นประโยคคุ้นๆ คล้ายๆกับที่เราเคยร้องขอจากแม่ในอดีด

และจากคำพูดของแม่แค่ประโยคสั้นๆ กำลังสอนให้เราระมัดระวังในการใช้เงิน จะหยิบจะใช้จะจ่าย ต้องมีการยั้งคิดดูถึงความคุ้มค่า ให้เห็นค่าของเงิน จะไม่ดูถูกเงินไม่ว่าจะเป็นเงินจำนวนมากหรือน้อยก็ตาม คนสำเร็จทางการเงินจริงมักใช้ชีวิตที่เรียบง่าย

เมื่อนั้น คำพูดของแม่ที่ว่า “#มันไม่หมดของสวย…” จึงมักชนะคำว่า “#ของมันต้องมี” ทุกครั้งไป…

ย่าเอก #นางเอกตลอดกาล

ทางที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่ทางที่ถูกต้องเสมอไป

เมื่อโตขึ้น เราจึงได้เรียนรู้ สิ่งที่เราคิดอยู่เสมอว่าเราเป็นคนดี ยึดถือสิ่งที่ถูกต้อง เดินตามกติกามาตลอด
แต่เมื่อวันหนึ่งเจอสิ่งไม่ถูกต้องเข้ามา ควรประเมินตัวเองว่าคุ้มหรือไม่ที่เราจะชน

ทางที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่ทางที่ถูกเสมอไป

ยอมแพ้เพื่อให้สามารถไปต่อได้

โลกก็เป็นแบบนี้

ชามข้าว

ชามข้าว
…..

68555064_1330055657162523_282034232992202752_n

หญิงสาวนางหนึ่ง หลังจากแต่งงานไปแล้ว ยามที่เธอพบเห็นใครมีบ้านหลังใหญ่โต มีรถหรูๆขับ เธอมักจะโทษกล่าวและเสียใจที่ตนเองช่างไม่มีวาสนาเทียบใครเขาได้
ในวันหยุดครั้งหนึ่ง เธอกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้าน เธอระบายความขุ่นเคืองที่อัดอั้นอยู่ในใจให้แม่ฟัง แม่ของเธอได้แต่รับฟังและก็ยิ้มไม่พูดอะไร!

เมื่อถึงเวลากินข้าว แม่ของเธอก็เปิดตู้หยิบชามข้าวออกมาหลายใบ มีทั้งชามสแตนเลส ชามเซรามิก และชามกังใส นางเอ่ยกับลูกสาวว่า
“ลูกจ๋า รีบเอาชามไปใส่ข้าวเร็ว!”

คนในบ้านมี4คน เธอเลือกชามข้าวที่สวยที่สุดไป4ใบ เหลืออีก4ใบที่เธอไม่เลือก
รอลูกสาวตักข้าวใส่ชามเสร็จแล้ว นางจึงชี้มือไปที่ชามทั้ง4ใบที่ถูกทิ้งไป
“ลูกจ๋า ลูกเห็นอะไรหรือเปล่า? ชามที่ลูกเลือกไปใส่ข้าวนั้น มีแต่ใบสวยๆทั้งนั้น แต่ใบอื่นๆแม้จะใส่ข้าวได้เหมือนกัน ลูกกลับไม่ยอมใช้มัน ปล่อยมันไปไว้ไม่เห็นมันอยู่ในสายตา นี่เป็นเรื่องปกติ ใครๆก็อยากได้ชามที่สวยๆมาใส่ข้าวกันทั้งนั้น!”

เธอรู้สึกว่าวันนี้แม่พูดมากเป็นพิเศษ แต่ก็ตั้งใจฟังในสิ่งที่แม่พูด
“ลูกรู้ไหม นี่คือที่มาของความคับแค้นใจในวาสนาของลูก เวลาเรากินข้าว เราต้องการข้าวไม่ใช่ชามที่สวยหรือไม่สวย แท้ที่จริง การแต่งงานก็เหมือนกับชามที่เรานำมาใส่ข้าว สวยหรือไม่สวยมันก็แค่รูปลักษณ์เปลือกนอก มีเพียงความรัก ที่เป็นข้าวที่อยู่ในชาม ข้าวหอมหรือไม่หอม ไม่เกี่ยวกับชาม ดังนั้น ต่อให้ชามที่ลูกถืออยู่เป็นชามสังกะสี หากในชามนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ขอเพียงลูกไม่ใส่ใจกับชามใบนั้น ลูกก็จะรู้ว่าลูกมีวาสนาเพียงใด! ”

วันที่ฟังแม่พูด เธอไม่ได้เข้าใจในทันที ยังรู้สึกงงๆกับหลักปรัชญาของแม่เสียด้วยซ้ำ จนอยู่มาวันหนึ่ง ที่เธอป่วยหนักด้วยโรคร้ายแรง สามีของเธอลาออกจากงานเพื่อมาอยู่ดูแลภรรยา จนถึงขั้นขายบ้านขาบช่องเพื่อทำการรักษาภรรยาอันเป็นที่รัก และสิ่งนี้ ทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อโรคร้ายค่อยๆทุเลา ในสวนสาธารณะยามพลบค่ำ ผู้คนในละแวกนั้นก็มักเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งพยุงหญิงสาวที่ร่างกายซูบผอมมาเดินเล่นแทบทุกวัน
แม้ตอนนี้พวกเขาจะไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ต้องอาศัยเช่าบ้านคนอื่นอยู่อาศัย แต่เธอกลับรู้สึกถึงความโชคดีที่มีสามีคอยเคียงข้างคอยให้กำลังใจ เธอจึงรู้ว่า นี่คือวาสนา!

อยู่มาวันหนึ่ง แม่ของเธอก็ถามลูกสาวด้วยรอยยิ้มว่า
“ลูกจ๋า ยังรู้สึกด้อยวาสนาอยู่หรือเหล่า?”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“แม่คะ การมีเขาอยู่เคียงข้าง คือวาสนาของหนูแล้วคะ หนูเพิ่งรู้ การแต่งงานก็เหมือนกับชาม ความรักต่างหากที่เป็นข้าว ต่อให้ชามข้าวจะสวยหรือไม่สวย นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือ ชามใบนั้นมีข้าวหรือเปล่าต่างหาก!”

ชาม แม้จะสวยงามปานใด หากไม่มีข้าว ต่อให้ราคาแพงลิบ มันก็คือความว่างเปล่า
ชีวิตครอบครัวก็เช่นกัน หากปราศจากความรัก ต่อให้มากสมบัติพัสถาน ชีวิตคู่ก็ปราศจากซึ่งความสุข มีแต่ความทุกข์ไม่จบสิ้น

…..
นุสนธิ์บุคส์

เมื่อพ่อแม่แก่ตัวลง

– วัยพ่อแม่นี้ ขี้ใจน้อย เป็นยิ่งนัก

– เมื่อลูกทัก ว่าทำผิด มันติดหู

– นึกทีไร น้ำตาล้น จนร่วงพรู

– จงเอ็นดู เถิดหนา อย่าบ่นเลย

– เข่าก็อ่อน แรงก็ล้า ตามัวซ้ำ

– ลูกช่วยค้ำ พยุงบ้าง อย่านั่งเฉย

– ตอนลูกเล็ก ปีนขี่คอ พ่อยังเคย

– อย่าละเลย ให้ชอกช้ำ ระกำใจ

– ลูกพูดไป ฟังไม่ทัน อย่าหันหนี

– พูดอีกที เถิดลูกรัก อย่าผลักไส

– หูมันแก่ ฟังลูกเล่า ไม่เข้าใจ

– จับความได้ กะพร่องกะแพร่ง ชี้แจงที

– ตอนลูกเล็ก พูดซ้ำมา ดูน่ารัก

– ตอนนี้พ่อแม่ แก่นัก ชักลืมถี่

– พูดซ้ำซาก มากมาย ตั้งหลายที

– ขอคนดี อย่าถือโทษ โกรธมากเกิน

– ลูกงานหนัก พ่อแม่ก็รู้ อยู่ว่าหนัก

– ขอลูกรัก พักคุยบ้าง อย่าห่างเหิน

– อยู่กับลูก กับเมีย เสียจนเพลิน

– ขอแค่เดิน มาถามไถ่ ในบางที

– เรื่องสำลัก ข้าวปลา อาหารน้ำ

– เกิดซากซ้ำ จนระอา น่าหน่ายหนี

– ขอให้ลูก จงอดทน เถิดคนดี

– แก่แล้วมี ปัญหา มาทุกคน

– อีกไม่นาน หรอกหนา เวลาผ่าน

– ความรำคาญ ทั้งหลายแหล่ แม้สับสน

– คงไม่กลับ มาเกิดซ้ำ ทำเวียนวน

– เมื่อผ่านพ้น พ่อแม่ลับ ดับชีวิต

– ขอให้ลูก ได้อยู่เย็น และเป็นสุข

– อันความทุกข์ จงหลีกไกล หายสนิท

– อย่าแผ้วพาน ลูกของพ่อแม่ แม้สักนิด

– ขอชีวิต ลูกพร้อมพรั่ง ดั่งใจเทอญ

จากใจพ่อและแม่ของลูก

Cr.Saran Wiki

How to sell.

“ทิ้งความตั้งใจที่จะขายของไปซะ แล้วโฟกัสความต้องการของลูกค้าที่อยู่ตรงหน้า”

.

.

.

วลีทองคำจากชายผู้ทำให้โลกยุคใหม่ต้องใช้ “ยาสีฟัน”

.

เมื่อ 100 ปีที่แล้ว ชาย 3 คนร่วมมือกันใช้พลังอันยิ่งใหญ่ของการตลาด เพื่อพลิกวิถีชีวิตของคนอเมริกัน

.

พวกเขาใช้หลักอันทรงพลัง 7 ข้อในการทำการตลาดให้แบรนด์สินค้าอย่าง 1900 Washer Co. (ตอนนี้คือสุขภัณฑ์ Whirlpool), ยาสีฟัน Pepsodent (ถูก Unilever ซื้อเมื่อปี 1944), บุหรี่ Lucky Strike, สบู่ Palmolive, แผ่นอนามัย Kotex และน้ำส้ม Sunkist (แต่ก่อนคนอเมริกันไม่ดื่มน้ำส้มคั้น)

.

หนึ่งใน 3 คนนั้นคือ Claude C. Hopkins ผู้เขียนหนังสือ Scientific Advertising…

.

ผู้ค้นพบ “กฏเหล็กทางการตลาดทั้ง 7” ที่ต่อมากลายเป็นรากฐานของหนังสือการตลาดระดับตำนาน

.

.

กฏข้อที่ 1 : ลูกค้าคือมนุษย์ จงคุยกับลูกค้าเหมือนมนุษย์คุยกัน

.

กฏข้อที่ 2. งานของเราคือ “ให้ลูกค้าได้ลองสินค้า” งานของสินค้าคือ ขายตัวมันเอง

.

กฏข้อที่ 3. คูปองใช้ได้ผลเสมอ (ขอย้ำว่าเสมอ!)

.

กฏข้อที่ 4. อย่าขายสินค้าสวนกระแส

.

กฏข้อที่ 5. ทดสอบ ทดสอบ ทดสอบ และทดสอบ

.

กฏข้อที่ 6. คำโฆษณาประเภท “ดีที่สุด” หรือ “อันดับหนึ่ง” ไม่เคยได้ผล และไม่มีน้ำหนักมากพอ

.

กฏข้อที่ 7. อย่าให้คำ ‘โฆษณา’ เด่นกว่า ‘ตัวสินค้า’ เพราะคนจะจำแค่โฆษณา แต่ลืมสินค้า

.

.

ตอนที่ Claude Hopkins เกษียณเมื่อปี 1923 เขาเขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Scientific Advertising ซึ่งต่อมา กลายเป็นเหมือน “คัมภีร์ไบเบิ้ล” ของนักการตลาดทั่วโลก

.

.

## ผ่านไป 93 ปี คัมภีร์การตลาดเล่มนี้ก็ถูกแปลเป็นภาษาไทย ##

ปล. ไม่มีขายในร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ