ถ้าลูกคิดจะทำธุรกิจ ต้องจัดการเรื่องเงินให้ดี

คนทำธุรกิจจัดการเงินในกระเป๋าง่ายๆ

1️⃣ อย่าปะปนเงินกิจการกับเงินส่วนตัว แยกบัญชีกันให้ชัดเจน (รายจ่ายกิจการต้องสนับสนุนหรือทำให้เกิดยอดขาย)

2️⃣ ทำบัญชีจดบันทึกรับจ่าย เข้าออกเท่าไหร่รู้ทั้งหมด เห็นต้นทุนเห็นยอดขาย จะได้รู้กำไร บริหารเงินได้ง่าย

3️⃣ ตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง กินใช้จ่ายส่วนตัวใช้เงินก้อนนี้ อย่ายุ่งกับเงินกิจการ

เริ่มง่ายๆ เท่านี้ ลองเริ่มดูนะครับ

ทัศนะคติในการสอนลูกของอาจารย์เฉลิมชัย…

ทัศนะคติในการสอนลูก
ของอาจารย์เฉลิมชัย…

กับลูกสอนประจำว่า “จงมีความสุข”
ไม่มีคำสอนอะไรที่มากกว่านี้
ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม
ให้เขาทำทุกอย่างที่เขามีความสุข
แต่ไม่ต้องเบียดเบียนใคร

ทุกวันนี้สังคมไทย
ชอบพอกพูนกิเลสให้แก่ลูก
เด็กถูกพ่อแม่ ถูกสังคม ยัดกิเลสให้
ไม่รู้จักพอ อยากได้ อยากดี อยากเด่น
อยากทุกอย่าง

แต่เราหยิบยื่นความสุขให้แก่ลูก
บอกเขาว่า ..ไม่ต้องเคร่งเครียด
ในการเรียนมาก ไม่เคี่ยวเข็ญ

ลูก ไม่จำเป็นต้องได้ที่หนึ่ง
แต่จงเรียนอย่างมีความสุข
ให้ผ่าน ให้รอดพอ

ข้างหน้าจะเป็นยังไง
ลูกไม่ต้องใฝ่ฝัน
ไม่ต้องอยากเป็นหมอ
ไม่ต้องอยากเป็นอะไร
ที่คนอื่นเขาอยากเป็น

ลูกจงถามใจของตัวเองว่า..
ลูกปรารถนาอะไรที่เป็นความสุข
แล้วจงทำสิ่งนั้น

ลูกไม่ต้องไปสนใจว่า ..
อาชีพอะไรที่ทำให้ลูกร่ำรวย
อย่านึกถึงความร่ำรวย

จงนึกถึงความสุขในใจของตัวเอง
แล้วจงทำมัน ได้เงินน้อยไม่เป็นไร
แต่ความสุขมีค่ามากกว่า

จงแสวงหาเงินเพื่อเลี้ยงชีวิต
ให้มีความสุข แต่ไม่ใช่แสวงหา
ความร่ำรวยแล้วทุกข์เสียชาติเกิด

ขอขอบคุณ :รัฐพล วงศ์ไตรรัตน์

ลิขิตสี่ประการ

“ลิขิตสี่ประการ”
• ลิขิตข้อแรกตราไว้ว่า
“ไม่มีใครที่ก้าวเข้ามาในชีวิตเราโดยบังเอิญ นี่เป็นการยืนยันว่า บรรดาผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเราในจังหวะชีวิตต่างๆนั้น ทุกคนล้วนเข้ามาเพื่อให้เราได้เรียนรู้บทเรียนใด หรือช่วยให้เราแก้สถานการณ์ใด ในขณะหนึ่งขณะใดทั้งสิ้น


• ลิขิตข้อที่สองตามมาว่า
“ทุกสิ่งที่เกิดกับเรา ล้วนต้องเกิดเป็นเช่นนั้น” ทุกสิ่งที่เกิดกับเรานั้นไม่อาจเป็นอื่นไปได้ เป็นความหลงผิดยิ่งที่ไปคิดว่า”ชีวิตเราไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ ถ้าในอดีตเราได้ทำอย่างนั้น” เพราะเป็นเรื่องที่ต้องเกิด กับเราแน่นอนในทุกรายละเอียดเลยทีเดียว เรามีหน้าที่ ต้องเรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นและก้าวไปข้างหน้า แม้ว่ามันจะฝืนกับความเข้าใจหรืออัตตาของเรา สักปานใดก็ตาม

• ลิขิตที่สาม มีว่า
“ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเมื่อได้เวลาแล้วเท่านั้น”ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะมาตามเวลาเสมอ ไม่มีช้าไปหรือเร็วไป มันจะมาถึงเมื่อเราพร้อม พร้อมต่อสิ่งใหม่ ในชีวิตที่รอเราอยู่ก่อนแล้ว

• ลิขิตที่สี่ มีว่า
“ชีวิตไม่มียืดเยื้ออะไรจบแล้วก็จบเลย”เป็นคำสอนง่ายๆว่า เมื่อสิ่งใดในชีวิตเราจบลงแล้ว ก็จะช่วยให้เราพัฒนาขึ้น ดังนั้นเมื่อมีประสบการณ์เพิ่มขึ้น เราก็ต้องปล่อยให้บทเรียนนี้ผ่านไป แล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอีก เป็นเช่นนี้ตลอดไป

“เ มื่ อ เ ร า โ ต ขึ้ น”

“เ มื่ อ เ ร า โ ต ขึ้ น”
“พ่อขา ทำไม พ่อไม่ค่อยมีเพื่อนเลย พอเราโตขึ้น คนที่รักเราจะน้อยลงเหรอคะ” ลูกถาม
“ไม่หรอกครับ เมื่อเราโตขึ้นเราจะเหลือคนที่รักเราจริงๆ ต่างหาก เราจะมากที่คุณภาพ ไม่ได้มากที่จำนวน เวลาจะคัดสรรคนที่เหมาะสมและมีคุณภาพไว้กับเรา ถ้าเป็นมิตรที่เหลือ ก็จะเป็นมิตรที่มีคุณภาพและรักเรา ถ้าเป็นศัตรูที่เหลือ ก็จะเป็นศัตรูที่จะเป็นแรงผลักดัน ให้เราต่อสู้เพื่อที่จะก้าวหน้าต่อไป” พ่อตอบพลางเดินนำต่อไป
“แล้วถ้าวันหนึ่ง หนูโตพอที่จะเลือกทางเดินเองได้พ่อจะไม่ทิ้งหนูไปไหนใช่ไหม️ ” ลูกถามต่อ
“เมื่อวันหนึ่งลูกเลือกทางเดินได้เอง พ่อก็ยังจะคอยอยู่ข้างๆ ลูกเหมือนเดิม
แต่เมื่อลูกโตขึ้น ลูกก็ต้องหาใครสักคนมาเดินข้างกาย พ่อก็จะถอยมาวิ่งข้างหลัง แต่ยังคงเฝ้ามองลูก จนวันหนึ่งที่พ่อวิ่งไม่ไหว พ่อก็จะหยุด แล้วมองลูกต่อไป หรือจนวันหนึ่งที่พ่อต้องจากไป พ่อก็ยังจะวิ่งอยู่ในใจของลูกตลอดกาลนะ ชีวิต คือ การก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ลูกจงจำไว้ว่า การก้าวไปจะมีคุณค่า เราจะต้องไม่ลืมคนข้างหน้า ข้างๆ หรือแม้แต่ข้างหลัง เพราะนั่นคือ พลังทั้งหมดที่คอยผลักดันลูกให้ก้าวไปพร้อมกับพลังของตัวลูกเองนะ
น้ำทะเลอาจทำให้รอยเท้าของเราจางหายไป แต่น้ำทะเลไม่อาจทำให้เราลืม
ว่าเรามาจากไหนและมากับใครหรอกนะ” พ่อตอบและยิ้มให้
ลูกไม่ตอบอะไร ได้แต่เดินช้าลง
พ่อสงสัยจึงถามว่า “ทำไมเดินช้าจัง”
ลูกส่งยิ้มหวาน ก่อนตอบกลับมาว่า
” ก็ ห นู อ ย า ก มี เ ว ล า เ ดิ น กั บ พ่ อ น า น ๆ ไ ง “
ปรัชญาชีวิต

ข้อคิดในสังคม

ข้อคิด

  1. อย่าโทรหาใครเกินสองครั้งติด ถ้าเขาไม่รับสาย ให้คิดว่าเขาติดธุระสำคัญอยู่
  2. ยืมเงินหรือของใครมา ต้องคืน ยิ่งคืนก่อนเขาทวงได้ยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าคุณมีความซื่อสัตย์และเป็นเครดิตให้ตัวเอง
  3. ถ้ามีใครเลี้ยงอาหารกลางวันหรืออาหารเย็น อย่าสั่งเมนูที่แพงๆ
  4. อย่าถามคำถามที่น่าอึดอัด เช่น ‘อ้าว ยังไม่แต่งงานอีกเหรอ’, ‘ทำไมยังไม่มีลูก’, ‘ทำไมไม่ซื้อบ้าน ทำไมไม่ซื้อรถ’ เพราะไม่ใช่เรื่องของคุณ
  5. เปิดประตูเผื่อให้คนที่เดินตามหลังมาด้วย ไม่ต้องสนว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เป็นมารยาทในการปฏิบัติต่อผู้อื่นในที่สาธารณะ
  6. ถ้าขึ้นแท็กซี่ไปกับใคร แล้วครั้งนี้เขาเป็นคนออกค่ารถ ครั้งต่อไปคุณควรจะเป็นคนจ่าย
  7. เคารพความเห็นต่าง เพราะคุณอาจเห็นเป็นเลข 6 แต่อีกคนอาจเห็นเป็นเลข 9 และความคิดเห็นที่สอง อาจเป็นทางเลือกที่ดีก็ได้
  8. เวลาใครพูด อย่าขัดจังหวะ ปล่อยให้เขาได้พรั่งพรูออกมา หน้าที่ของคุณคือเลือกฟังในสิ่งที่ควรฟัง
  9. ถ้าแหย่ใครเล่น แล้วเขาไม่ชอบ ก็เลิกเล่นซะ แล้วอย่าทำอีก
  10. เวลามีใครช่วย อย่าลืมพูด “ขอบคุณ”
  11. ชื่นชมใครต่อหน้าธารกำนัลได้ แต่ถ้าจะวิจารณ์ใคร ให้ไปพูดตัวต่อตัว
  12. อย่าพูดถึงน้ำหนักตัวของใคร แค่บอกว่า เขาดูดี ถ้าเขาอยากคุยเรื่องลดน้ำหนัก เขาจะพูดเอง
  13. ถ้าใครโชว์รูปในโทรศัพท์ให้ดู อย่าปัดหน้าจอ เพราะเราไม่รู้ว่ามีรูปอะไรในนั้นบ้าง
  14. ถ้าเพื่อนร่วมงานบอกว่า วันนี้หมอนัด อย่าถามว่าเป็นอะไรต้องไปตรวจ แค่บอกว่า ขอให้สบายดีนะ อย่ากดดันให้เขาต้องบอกว่าเจ็บป่วยเป็นอะไร ถ้าเขาอยากให้รู้ เขาจะบอกเองโดยไม่ต้องถาม
  15. ปฏิบัติกับแม่บ้านด้วยความสุภาพเหมือนที่ทำกับ CEO เพราะไม่มีใครรู้สึกดี ถ้าเห็นคุณหยาบคายหรือดูถูกคนอื่น มีแต่จะชื่นชมถ้าเขาเห็นคุณปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความเคารพ
  16. ถ้าใครกำลังคุยด้วย อย่าเอาแต่ก้มหน้ามองโทรศัพท์ เพราะเสียมารยาทมาก
  17. อย่าไปแนะนำอะไรใคร ถ้าเขาไม่ได้ถาม
  18. ถ้าไม่เจอใครมานานหลายปี มาเจอกันอีกที อย่าถามเรื่องอายุและเงินเดือน
  19. อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น ถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรา
  20. ถอดแว่นกันแดดออกเวลาพูดคุยกับใครกลางแจ้ง เป็นการให้เกียรติกัน และการสบตาก็มีค่าพอ ๆ กับคำพูด
  21. อย่าพูดถึงความรวยของใครต่อหน้าคนที่ขาดแคลน และอย่าพูดถึงลูก ๆ ของคุณต่อหน้าคนที่มีลูกไม่ได้

ยังว่ายน้ำไม่เป็น อย่ารีบกระโดดลงน้ำ 🙏

เบื่อชีวิตลูกจ้างแค่ไหน ก็อย่ารีบร้อน ลาออกมาเปิดกิจการ

ธุรกิจ ค้าขาย ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถึงจะไม่ง่าย ก็สำเร็จได้ หากตั้งใจ

การทำธุรกิจ มันมีความรับผิดชอบสูงกว่าการ แต่งตัวออกไปทำงานแล้วรับเงินสิ้นเดือน

มันมีเรื่องให้คิด แก้ปัญหา และต้องพัฒนาตลอดเวลา

ตอนทำงานเราอาจสู้แค่กับงานหรือเพื่อนร่วมงานแย่ๆไม่กี่คน

เป็นเจ้าของธุรกิจต้องสู้กับทุกคน ทุกอย่าง แม้กระทั่งสู้กับ…ตัวเอง

การทำธุรกิจ เปิดกิจการมันเหมือนว่ายน้ำเลย

วันนี้ถ้าคุณยังเป็นลูกน้องที่ดีของใครไม่ได้

วันนี้ถ้าคุณยังเป็น พนักงานที่ดีของบริษัทไม่ได้

เป็นไปไม่ได้เลย ที่คุณจะเป็นเจ้าของร้าน เจ้าของกิจการที่ดีได้

หลายคนที่รีบร้อน ลาออก มาเปิดกิจการตามความฝัน สุดท้ายผิดหวัง พังไม่เป็นท่า

เพราะว่ายน้ำยังไม่แข็ง แล้วรีบโดนลงทะเลแห่งชีวิตจริงๆ

คนบางคน เกิดในครอบครัวค้าขาย ยังขายของไม่เป็นเลย

คนบางคน ขายของมาทั้งชีวิต ยังตอบไม่ได้เลยว่า
เป้าหมายของธุรกิจคืออะไร?
รู้แค่ว่าเปิดร้านไปวันๆ ขายไปวันๆ ดีกว่าเป็นลูกจ้างเขา

ก่อนจะขี่บิ๊กไบท์ได้ มันก็ต้องเริ่มจากปั่นจักรยานมาก่อน

เมื่อไหร่ ที่คุณเก่งในสายงานที่ทำ จนไม่มีใครกล้าจ้าง

เมื่อไหร่ ที่คุณสำเร็จในหน้าที่การงาน ที่คุณรับผิดชอบได้อย่างดี

เมื่อนั้นจะมีคำตอบรอคุณอยู่ ว่าพร้อมที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจหรือยัง

คุณต้องประสบความสำเร็จ ในอาชีพที่คุณทำให้ได้ก่อน แล้วจึงออกไปสร้างความสำเร็จใหม่

อย่าทำเหมือนคนทั่วไป ที่ลาออกไปเปิดร้าน เปิดกิจการ เพียงเพราะไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร
เพียงเพราะเบื่อเจ้านาย เบื่อเพื่อนร่วมงาน

เพราะถ้าคิดแบบนี้คุณก็จะต้องพังเหมือนคนก่อนหน้านี้

ถ้าวันนี้ยังเป็นลูกจ้างที่ดีไม่ได้ คุณจะไม่มีวันเป็นเจ้าของธุรกิจที่ดีได้

คนสำเร็จระดับโลกหลายคน เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างที่ดีก่อน

เป็นเด็กเสิร์ฟที่เช็ดโต๊ะให้สะอาดไม่ได้ ก็อย่าหวังจะเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ดีได้ แค่โต๊ะเล็กๆยังเช็ดไม่ทั่ว จะดูแลร้านทั้งร้านได้ทั่วถึงได้ยังไง

คนบางคนเกิดและโตมาข้างทะเล ยังว่ายน้ำไม่เป็นเลย

เพราะฉะนั้น ถ้ายังว่ายน้ำไม่เป็น ว่ายน้ำไม่แข็ง อย่ารีบโดดลงน้ำ เล่นสระเด็กน้ำตื้นๆไปก่อน เมื่อว่ายเก่งแล้วค่อยไปสระลึก แล้วค่อยลงแข่งขัน หรือลงว่ายในทะเล 🎉🎉❤️❤️

หากคุณไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย ก็จงให้ครอบครัวที่ร่ำรวยมาจากคุณ “มรดกทางความคิด”

สิ่งหนึ่งที่เรามักจะเห็นว่าคนที่ทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จนั้นมีเหมือนๆ กัน ก็คือ พวกเขามักเต็มไปด้วย Passion อันแรงกล้า และ เปี่ยมไปด้วยพลังงานอันล้นเหลือ ที่สำคัญ คือ พวกเขาเป็นคนใจสู้ และ ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
.
แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า จริงๆ แล้ว คำว่า “Passion” นั้นมีรากศัพท์มาจากคำว่า “Passio” ซึ่งแปลว่า “ความเจ็บปวด”
.
หากเราลองศึกษาประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จให้ลึกลงไปจริงๆ คุณจะพบว่า Passion อันสวยหรูที่เราเห็นในปัจจุบัน หลายครั้งมันมักจะเป็นผลมาจากความเจ็บปวดในอดีตที่ไม่น่าอภิรมณ์นัก
.
บางคนเจ็บปวดเพราะเคยเห็นพ่อแม่ลำบาก
บางคนเจ็บปวดเพราะเคยต้องกัดก้อนเกลือกิน
บางคนเจ็บปวดเพราะเคยโดนคนรอบข้างดูถูก
.
แต่สำหรับน้อง สเก็ต ปิยฉัตร บุตรเนียร สาวน้อยมหัศจรรย์ วัยเพียง 21 ปี เธอต้องเจอกับความเจ็บปวด 3 ข้อที่กล่าวมา โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการสูญเสียคุณพ่อซึ่งเป็นเสาหลักไปอย่างกะทันหันจากอุบัติเหตุทางถนนตั้งแต่ตอนอายุ 14 ปี ทำให้รายได้หลักของบ้านนั้นขาดหายไป ทิ้งเอาไว้เพียงหนี้ก้อนใหญ่จากรถยนต์อีก 2 คัน
.
เธอจึงต้องเห็นคุณแม่เหน็ดเหนื่อยทำงานหนักคนเดียว จากที่เคยมีบ้านอยู่ ก็ต้องไปเช่าบ้านหลังเล็กๆ ริมคลองที่ต้องยัดสิ่งของเครื่องใช้ แม้กระทั่งตู้กับข้าวเอาไว้ในห้องๆ เดียว ส่วนตอนกลางคืนก็ต้องปูผ้านอนบนพื้นห้องนอนเอา
.
แต่แทนที่เธอจะเอาความเจ็บปวดนั้นมาทำร้ายตัวเอง เธอกลับใช้มันเป็นแรงผลักดันเพื่อถีบตัวเองขึ้นมาจนสามารถปลดหนี้ทั้งหมดให้ครอบครัว ซื้อบ้านหลังใหม่ให้แม่ ออกรถในฝันอย่าง BMW ให้ตัวเอง และ กลายเป็นวัยรุ่นเงินล้านได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ
.
คำถามคือ เธอทำได้ยังไง ?
.
.
ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน น้องสเก็ตได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต นั่นคือ คุณพ่อของเธอถูกรถชนจนได้รับกระทบกระเทือนทางศีรษะ ทันทีที่เกิดเหตุทุกคนรีบนำตัวคุณพ่อส่งโรงพยาบาลทันที แต่ด้วยความที่ฐานะทางบ้านไม่ดีนัก จึงทำได้แค่นำตัวคุณพ่อไปรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐ
.
แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้กันดี นอกจากจะต้องรอคิวนานหลายชั่วโมงแล้ว ทางโรงพยาบาลก็ไม่ได้ตรวจอะไรเลยนอกจากทำแผลที่ศีรษะแล้วให้กลับบ้าน
.
แต่หลังจากที่กลับมาบ้านปรากฎว่าคุณพ่อก็ปวดหัวอย่างหนักจนทนไม่ไหว แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเวลาตี 2 ซึ่งดึกมากแล้ว ทำให้โรงพยาบาลเดิมไม่มีหมอ จึงจำเป็นต้องกัดฟันนำตัวคุณพ่อไปที่โรงพยาบาลเอกชนแทน
.
แต่มันก็ช้าเกินไป เพราะพ่อของเธอเสียเลือดมาก แถมยังมีเลือดคลั่งในสมอง ทำให้ทนพิษบาดแผลไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องจากไปอย่างกะทันหัน โดยที่ไม่ได้เตรียมใจอะไรไว้เลย แน่นอนว่าถ้าเธอมีเงินมากกว่านี้ พ่อของเธออาจได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้และคงไม่จากครอบครัวไปเร็วแบบนี้
.
โดยของมีค่าเพียงสิ่งเดียว ที่พ่อของเธอทิ้งเอาไว้ให้ ก็คือ “มรดกทางความคิด”
.
เพราะตอนที่คุณพ่อยังอยู่ หากน้องสเก็ตอยากจะได้อะไร คุณพ่อจะสอนให้รู้จักทำงาน หาเงินไปซื้อด้วยตัวเองอยู่เสมอ มันจึงทำให้เธอไม่อายที่จะทำงานตั้งแต่ยังเด็ก
.
อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณพ่อจากไป ครอบครัวของเธอก็เหลือเพียงแค่ แม่ และ พี่สาว ซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งหมด แถมบ้านเดิมที่ จ.ร้อยเอ็ด ก็อยู่ในซอยเปลี่ยว จึงทำให้คุณลุงเป็นห่วงมากๆ และไม่อยากปล่อยให้อยู่กันตามลำพัง ประกอบกับตัวเธอเองกำลังจะขึ้น ม.4 พอดี
.
คุณลุงจึงพาทั้งเธอและแม่มาอยู่กรุงเทพฯ โดยคุณลุงได้ขายกิจการร้านกาแฟเล็กๆ ให้คุณแม่ของเธอเพื่อเอาไว้ทำมาหากินเลี้ยงชีพ แล้วก็ไปเช่าบ้านหลังเล็กๆ อยู่ริมคลองซึ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่ต้องยัดทุกสิ่งทุกอย่างในห้องเดียวพร้อมกับต้องนอนกันบนพื้นกลางห้อง
.
น้องสเก็ตเล่าว่า “ตอนนั้นรู้สึกน้อยใจชีวิตตัวเองมากๆ บอกตามตรง คือ ไม่ชอบชีวิตตัวเองเลย ทำไมชีวิตมันถึงได้แย่ลง จากที่เคยนอนบนเตียง ก็ต้องลงมานอนบนพื้น จากที่ชีวิตกำลังจะดีเพราะพ่อกำลังสร้างตัวก็ดันมาแย่ลง”
.
อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังอดทน แล้วช่วยคุณแม่ขายกาแฟในวันหยุดและหลังเลิกเรียน โดยคุณแม่จะให้เงินเล็กๆ น้อยๆ กับน้องสเก็ตเป็นค่าจ้างเพื่อให้เธอเรียนรู้ว่า “ถ้ารู้จักทำงาน ลูกก็จะได้ค่าตอบแทน”
.
ซึ่งในจังหวะนั้นเองเธอก็เริ่มสังเกตเห็นสีหน้าและแววตาของคุณแม่ที่เปลี่ยนไป เพราะถึงแม้ว่าคุณแม่จะเป็นคนเก็บอาการเก่ง เพราะไม่อยากให้ลูกรู้สึกว่าครอบครัวมีปัญหา เธอแทบไม่เคยเห็นแม่ร้องให้เลยยกเว้นวันที่คุณพ่อเสีย
.
แต่ถึงแม้ว่าจะเก็บอาการเก่งแค่ไหน หากคนเราอมทุกข์อยู่ในใจ มันก็มักจะแสดงออกผ่านสีหน้าเสมอ เธอเริ่มสังเกตสีหน้าที่หมองหม่นของคุณแม่ ซึ่งทำให้เธอสัมผัสได้ทันที ว่าแม่เหนื่อยขนาดไหน สีหน้าของแม่เหมือนแบกอะไรไว้เต็มหลัง
.
จนสุดท้ายเธอก็มารู้ว่า บ้านหลังที่ครอบครัวอาศัยอยู่นั้น มีค่าเช่ามากถึงเดือนละ 15,000 บาท ซึ่งมันหนักมากๆ เมื่อรวมกับหนี้รถยนต์ที่ยังคงค้างอยู่ เทียบกับกำไรจากค่ากาแฟแค่ไม่กี่บาท
.
ทันทีที่เธอรู้เรื่องราวทั้งหมด เธอบอกกับตัวเองทันทีว่า “จะไม่ยอมให้ตัวเองมีชีวิตแบบนี้อีกแล้ว”
.
และนั่นก็คือจุดเปลี่ยนให้เธอพยายามหารายได้ด้วยตัวเองแบบจริงจัง ซึ่ง ณ ตอนนั้น เธอเองก็ไม่ได้คิดถึงขนาดว่าจะต้องช่วยเหลือครอบครัวได้ เพียงแต่อยากมีเงินไว้กินไว้ใช้หรือซื้อของที่อยากได้โดยไม่ต้องขอคุณแม่ก็พอ
.
แต่คำถาม คือ เด็กอายุแค่ 16 ปี เงินทุนก็ไม่มี แล้วจะไปเริ่มทำธุรกิจได้ยังไง ?
.
คำพูดหนึ่งที่ผมมักจะบอกกับคนที่อยากเริ่มต้นธุรกิจ แต่ติดเรื่องเงินทุน ก็คือ “ถ้าเงินน้อย ก็จงใช้สมองให้มาก”
.
เพราะความจริงแล้ว สิ่งที่ผลิตเงินให้เราก็คือ “สมอง” เพราะต่อให้คุณ “มีเงิน” มากแค่ไหน แต่ถ้า “คิดไม่เป็น” เงินพวกนั้นก็มลายหายไปอยู่ดี
.
สิ่งที่น้องสเก็ตทำก็คือ การเข้าไปในกลุ่มซื้อขายเสื้อผ้าในเฟซบุ๊ก เพื่อเลือกแบบเสื้อผ้าที่สวยๆ มา แล้วก็นำรูปไปบวกราคาโพสต์ขายให้กับลูกค้าหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัวของตัวเองหรือในกลุ่มอื่นๆ เมื่อได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้ามา เธอก็ไปสั่งซื้อเสื้อผ้าจากผู้ขายอีกทีแล้วให้ส่งสินค้าตรงไปหาลูกค้าเลย ส่วนเธอก็เก็บเงินส่วนต่างไว้เป็นกำไร
.
วิธีการแบบนี้ในปัจจุบันอาจไม่ได้แปลกอะไร เพราะใครๆ ก็ทำกัน แต่อย่าลืมว่า น้องสเก็ตคิดแบบนี้ได้ตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ที่สำคัญ คือ ตอนนั้นเธออายุแค่ 16 ปี เท่านั้น
.
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ การขายเสื้อผ้านั้นเป็นอะไรที่ยากมาก เพราะไหนจะสี ไหนจะไซส์ เวลาลูกค้าถามเข้ามา เธอก็ต้องทักไปถามผู้ขายว่ามีของไหม กว่าผู้ขายจะตอบก็ต้องรอหลายขั่วโมง พอได้คำตอบกลับมาบอกลูกค้าอีกที ลูกค้าก็ไม่อยากได้แล้ว เรียกได้ว่า กว่าจะขายได้แต่ละตัวมันยากมากๆ
.
น้องสเก็ตจึงคิดว่าต้องหาสินค้าอื่นๆ ที่ขายง่ายขึ้น ซึ่งตอนนั้นเธอก็ไปเจอขนมบราวนี่กรอบชิ้นละ 35 บาท ที่มีคนขายในเฟซบุ๊กซึ่งดูน่าสนใจ เธอก็เลยทักไปถามว่าอยากจะนำมาขายต้องทำอย่างไร ซึ่งเธอก็เอาเงินจากกำไรขายเสื้อผ้าที่มีไปเปิดบิลซื้อขนมมา แล้วนำไปขายเพื่อนๆ ที่โรงเรียน
.
ผลปรากฎว่าขายดีมากๆ เพราะสั่งมาทีไรก็ขายหมดทุกที ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกหัวใจฟองโตมากๆ
.
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่สินค้าเป็นขนม กำไรมันจึงได้มาแค่หลักหน่วย บวกกับความที่เป็นเด็ก จึงไม่รู้วิธีการจัดการเงิน เธอรู้สึกว่าขายได้ก็จริง แต่ทำไมเงินไม่ค่อยเหลือ เพราะพอเธอขายได้ เธอก็เอาเงินมามัดรวมกัน แล้วก็หยิบออกมาใช้จ่ายซื้อของที่อยากได้ รู้อีกทีเงินทุนที่มีก็หายไปไหนไม่รู้
.
เธอจึงเริ่มคิดหาอย่างอื่นมาขายในโรงเรียนเพิ่ม โดยสิ่งที่เธอทำก็คือ การไป “สำรวจตลาด” โดยการถามคนในโรงเรียนก่อนว่า ถ้าเธอเอาของสิ่งนี้มาขาย จะมีคนในโรงเรียนยอมจ่ายเงินซื้อสักกี่คน
.
จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจว่าจะขายสินค้าพวกสกินแคร์ เช่น สบู่ แป้ง ครีม เซรั่ม ราคาหลักสิบ เพื่อให้คนในโรงเรียนสามารถซื้อได้
.
ซึ่งตอนแรกเธอก็ไม่ได้สต็อกของเหมือนเดิม และ ใช้วิธีการเดิม คือ ถ้ามีคนสั่งก็ค่อยไปซื้อมาแล้วเดินส่งตามห้องเรียน จนเมื่อเธอเริ่มมีฐานลูกค้า และ เริ่มรู้แล้วว่าลูกค้าในโรงเรียนชอบใช้อะไรกันบ้าง เธอก็เริ่มสต็อกสินค้าเพื่อทำให้ต้นทุนนั้นถูกลง
.
อย่างไรก็ตาม พอเราเริ่มทำธุรกิจอะไรแล้วขายดี คนอื่นเห็นเรานับเงินทุกวัน ใครๆ เขาก็อยากจะเข้ามาแบ่งเงินจากเราไป
.
จากที่น้องสเก็ตเริ่มขายสินค้าสกินแคร์คนเดียว ก็เริ่มมีคนในโรงเรียนเอามาขายกันเยอะแยะเต็มไปหมด ทำให้เริ่มมีการตัดราคากันเกิดขึ้น จากที่เคยผูกขาดตลาดในโรงเรียนคนเดียว ก็เริ่มมีคู่แข่งเข้ามาแบ่งกำไรไป
.
เธอจึงเริ่มคิดที่จะขยายตลาดไปขายสินค้าต่างโรงเรียน ส่วนในโรงเรียนของตัวเอง เธอก็ผันตัวไปเป็นคนขายส่ง รับลูกค้าเฉพาะตัวแทนที่มาเปิดบิลเท่านั้น ไม่ขายปลีกอีกแล้ว ปล่อยให้คนอื่นเขาขายกัน ส่วนเธอก็หาลูกค้าต่างโรงเรียน แล้วขับรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งของตามนัดในช่วงหลังเลิกเรียน และ วันหยุดเสาร์อาทิตย์
.
มาถึงตรงนี้ จะพบว่าน้องสเก็ตมีคุณสมบัติหนึ่งของนักธุรกิจที่เปล่งประกายออกมาตั้งแต่เด็ก นั่นก็คือ เธอเป็นคนที่ ช่างสังเกต ทดลอง เรียนรู้ ปรับปรุง และ เปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา
.
มันจึงทำให้เธอสามารถหยุดขอเงินค่าขนมจากแม่ และ จ่ายค่าเทอมเองตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ม.5
.
เธอสนุกกับการขายของ และ มีความสุขกับการใช้จ่ายเงินของตัวเองตามประสาเด็ก โดยไม่ได้คิดถึงอนาคตอะไรมาก จนกระทั่งเธอเริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ สวนสุนันทา เธอก็ยังขายของมาตลอด โดยที่ไม่หยุดเรียนรู้ ไม่หยุดลงมือทำ ไม่หยุดเปลี่ยนแปลงตัวเอง
.
ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เธอหยุดขายของ ถึงแม้ว่าจะมีคนมากมายสบประมาทเธอว่า “เดี๋ยวก็ไปไม่รอดหรอก เพราะพอขึ้นมหาลัยจะต้องเรียนหนักขึ้น มีเวลาน้อยลง เดี๋ยวก็คงเลิกขายของไปเอง
.
แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะเมื่อขึ้นมหาลัยแล้ว เราไม่ได้ต้องเรียนทั้งวันตั้งแต่ 8 โมงเช้า – 4 โมงเย็น เหมือนตอนมัธยมเสียหน่อย ที่สำคัญ คือ มหาลัยจะมีช่วงพักระหว่างคาบที่เยอะมากๆ มันขึ้นอยู่กับว่า จะเอาช่วงเวลานั้น ไปนอน ไปดูหนัง ไปเที่ยว หรือ จะเอาไปทำมาหากิน เท่านั้นเอง
.
ซึ่งแน่นอนว่าน้องสเก็ตเลือกที่จะขายของ จึงทำให้ตอนปี 1 เธอมีเพื่อนน้อยมาก เพราะเวลาเพื่อนชวนไปดูหนัง หรือ ไม่เที่ยว เธอก็มักจะปฏิเสธเพราะต้องกลับไปแพ็คของส่งให้ลูกค้า
.
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าฉากหน้าเธอจะดูเป็นแม่ค้าที่ขายดี แต่หารู้ไม่ว่าฉากหลังเธอแทบจะไม่มีเงินเลย เพราะสินค้าราคาหลักสิบที่เธอขายกำไรมันน้อยเกินไป ซึ่งไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งค่ากล่อง ค่าเดินทางไปส่ง และ อื่นๆ
.
เธอจึงรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง หรืออาจจะต้องขายสินค้าราคาสูงขึ้น แต่ก็ยังมีความลังเลอยู่บ้าง เพราะกลัวว่าถ้าขยับไปขายสกินแคร์ราคาหลักร้อยแล้วจะขายไม่ได้
.
แต่อยู่ๆ ก็มีความคิดนึงวิ่งเข้ามาในหัวบอกเธอว่า “ถ้าไม่ยอมเปลี่ยน เราก็ต้องอยู่ที่เดิม แต่ถ้าลองเปลี่ยนแล้วมันไม่เวิร์ค ก็ค่อยกลับมาขายสินค้าตัวเดิมก็ได้”
.
เธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาขายสินค้าราคา 300-500 บาท ทันที เพื่อให้ตัวเองมีกำไรมากขึ้น
.
แน่นอนว่าตอนแรกมันไม่ได้ง่าย เพราะพอเปลี่ยนสินค้า กลุ่มลูกค้าก็เปลี่ยน ลูกค้าเดิมหายไป ลูกค้าใหม่ตัดสินใจนานขึ้น มันไม่ง่ายเหมือนตอนขายของราคาถูก
.
แต่สิ่งที่เธอได้มากกว่านั้นก็คือ การได้เข้าไปอยู่ในสังคมใหม่ๆ ของแบรนด์ที่เธอไปสมัครเป็นตัวแทน ไปเจอการทำงานอีกระดับ ที่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
.
และ เธอก็ไม่เคยปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเหมือนอากาศ เธอมุ่งมั่นพัฒนาฝีมือการขายของตัวเอง เข้าร่วมทุกแคมเปญที่ทางแบรนด์จัดขึ้น จนเจ้าของแบรนด์เห็นในความตั้งใจของเธอ บวกกับยอดขายที่ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงได้รับการโปรโมตขึ้นเป็นแม่ทีมในตอนนั้น
.
สิ่งที่ผมเจอมากับตัว และ เห็นจากคนประสบความสำเร็จหลายๆ คน ก็คือ คนรวยส่วนใหญ่เป็นคนดี ถ้าคุณอ่อนน้อมถ่อมตน แสดงให้เขาเห็นถึงความตั้งใจ รับรองเลยว่าคนรวยส่วนใหญ่จะอยากสอนคุณ
.
ผิดกับที่คนส่วนใหญ่มักพูดว่า “คนรวยส่วนใหญ่ชอบเอาเปรียบ เขามีสอนใครฟรีๆ หรอก เพราะเขาไม่อยากให้คนอื่นรวยมาแข่งกับเขา”
.
ถ้าให้พูดตามตรงนะครับว่า “ก็เพราะทัศนคติแบบนี้แหละ คนรวยเขาถึงไม่อยากเข้าใกล้ เพราะเขารู้ว่าถ้าสอนไป ให้โอกาสไป คนเหล่านี้ก็ไม่คิดจะทำตาม พอไม่ได้อะไรดั่งใจก็นั่งโทษชาวบ้านอีก” ซึ่งมันเสียเวลาคนรวยเขาครับ
.
ถ้าได้ไปสัมผัสคนรวยจริงๆ บอกเลยว่าคนรวยส่วนใหญ่ อยากให้คนรอบข้างตัวเองรวยขึ้น นั่นก็เพราะเขารู้สึกภูมิใจหากมีส่วนทำให้ใครบางคนรวยขึ้นเพราะเขาได้ ที่สำคัญ อย่าเข้าใจผิดว่าการที่คุณรวยขึ้นมันจะทำให้คนรวยเหล่านั้นจนลง
.
เพราะความจริงแล้ว ความรวยของคุณ ไม่ได้มีผลกับความรวยของเขาด้วยซ้ำ กลับกัน มันจะยิ่งทำให้ต่างคนต่างรวยขึ้นเสียอีก เพราะพอคุณรวยขึ้น คุณก็มีเงินมาอุดหนุนกัน ที่สำคัญ คุณอาจนำเงินที่ตัวเองหาได้ไปร่วมลงทุน หรือ ทำธุรกิจเพื่อต่อยอดความรวยด้วยกันไปอีก
.
และ สิ่งหนึ่งที่เจ้าของแบรนด์ถามกับน้องสเก็ตก็คือ “เป้าหมายในปีหน้า คือ อะไร ?”
.
ซึ่งในใจลึกๆ สิ่งที่น้องสเก็ตอยากจะทำมาก ก็คือ การมีบ้านเป็นของตัวเอง เพื่อลบความเจ็บปวดที่ตัวเองมี แต่เธอก็ลืมไปแล้วว่ามันคือ “ความฝัน” เพราะคิดมาตลอดว่าบ้านราคาเป็นล้าน เธอคง “ทำไม่ได้”
.
แต่เพราะคำสั้นๆ ที่เจ้าของแบรนด์ตอบน้องสเก็ตมาว่า “แต่พี่เชื่อ ว่าเอ็งทำได้ !!”
.
คำๆ เดียวที่เรียกว่า “ความเชื่อ” ที่คนตรงหน้าส่งมอบมาให้ มันเปลี่ยนความสงสัย ให้กลายเป็นความเชื่อมั่น และ เป็นพลังให้เธอมุ่งมั่นทำงานหนักต่อไป
.
และในที่สุดความสำเร็จแรกของเธอก็มาถึง เธอสามารถปิดหนี้สินทั้งหมดให้คุณแม่ได้สำเร็จ เพราะตัวเธอคงไม่สามารถทำตามความฝันของตัวเองได้อย่างสบายใจ หากแม่ของเธอยังแบกรับภาระหนี้อันหนักอึ้งอยู่
.
หลังจากที่เธอหมดห่วงแล้ว เธอก็กลับมาโฟกัสเป้าหมายของตัวเองเต็มที่ จนในที่สุดสิ่งที่เธอพยายามมาตลอด 5 ปี ก็ผลิดอกออกผล
.
เธอสามารถซื้อบ้านราคา 3.9 ล้านบาทได้สำเร็จ สิ่งที่เธอเห็นในวันที่พาคุณแม่ย้ายจากบ้านหลังเก่าโทรมๆ ริมคลอง เข้ามาอยู่บ้านหลังใหม่ ก็คือ
.
สีหน้าของแม่ที่เปลี่ยนไป จากที่เคยหม่นหมอง ก็มีแต่ความสดใส แววตาที่เอ่อล้นไปด้วยความสุข
.
มันจบแล้วสินะ !! สิ่งที่แม่แบกมาตลอด 5 ปี จบสักที… หลังจากวันนี้… เราจะสร้างชีวิตใหม่ไปด้วยกัน !!
.
คุณแม่ของเธอพูดอะไรไม่ออก นอกจากคำว่า “ขอบคุณนะ ที่พยายาม ขอบคุณนะลูกที่ทำเพื่อครอบครัว”
.
.
มาถึงตรงนี้ จะพบว่า กุญแจสำคัญที่ทำให้เด็กอายุเพียง 21 ปี สามารถถีบตัวเองขึ้นมาได้ขนาดนี้ ก็คือ
.
1) อย่ามองแต่สิ่งที่ขาด จนพลาดในสิ่งที่มี
.
หากวันแรกที่เริ่มต้น น้องสเก็ตบอกตัวเองว่าไม่มีเงินทุน ชีวิตก็คงไม่ก้าวหน้าไปไหน แต่สิ่งที่น้องสเก็ตแสดงให้เห็นก็คือ ต่อให้ไม่มีเงินทุนมากมาย คนเราก็ยังมี หนึ่งสมอง สองมือ และ อวัยวะน้อยใหญ่อีก 32 ประการ
.
คุณก็แค่ใช้สมองคิดหาวิธี ใช้ปากถามความต้องการจากลูกค้า หาสินค้า จับแพะชนแกะไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ และ ที่สำคัญคือ ใช้สองมือที่มี “ทำ” มันจนสุดชีวิต
.
2) เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
.
จะเห็นว่าสิ่งที่ทำให้น้องสเก็ตเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด ก็คือ น้องจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เสมอ ถ้าประตูบานหนึ่งปิด ก็จะหาประตูบานอื่นที่เปิด จะไม่ยอมให้ตัวเองย้ำอยู่กับที่นานๆ แต่จะหาหนทางใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
.
เพราะคนเราจะสำเร็จเร็วแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับว่า เราเปลี่ยนแปลงตัวเองเร็วแค่ไหนด้วย
.
3) ใช้ “ออนไลน์” สร้างพลังทวี
.
ออนไลน์ คือ เครื่องมือที่จะทำให้เรา “ทำงานได้มากขึ้น แต่ใช้แรงน้อยลง” ถ้าน้องสเก็ตยังเอาขนมและสกินแคร์ไปขายที่โรงเรียนเหมือนเดิม ตอนนี้ชีวิตก็คงยังไม่เติบโต เพราะหากจะขายสินค้าให้คนทั่วประเทศ ก็คงต้องลงทุนขยายสาขามากมาย แต่น้องสเก็ตรู้ดี ว่าตัวเองโชคดีที่เกิดมาในยุคออนไลน์ น้องจึงใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อที่ตัวเองจะได้ขายสินค้าให้กับคนจำนวนมากทั่วประเทศได้โดยใช้เวลาน้อยลง แถมไม่ต้องลงทุนเปิดสาขาเพิ่มด้วย
.
ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าน้องสเก็ตไม่ยอมใช้ประโยชน์ของพลังทวีจากออนไลน์ กว่าจะซื้อบ้านกับรถ BMW ได้ ก็คงต้องรอไปจนอายุ 40 ปี
.
.
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะอย่าลืมว่าน้องสเก็ตอายุแค่ 21 ปี เท่านั้นเอง ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมงที่ผมได้นั่งคุยกับน้องสเก็ต ผมเห็นถึงสีหน้าและแววตาของน้องประกอบกับพลังที่ถูกส่งออกมาผ่านคำพูดและน้ำเสียง มันทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่น หากบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ น้องก็คงจะบอกว่า “ฉันจะเอาอีก ฉันต้องโตกว่านี้ และ ฉันจะไม่หยุดอยู่แค่นี้”
.
และ ผมก็เชื่อเหลือเกินว่า อนาคตของเด็กคนนี้ยังไปได้อีกไกลมากๆ หากคุณอยากจะเรียนรู้วิธีการสร้างธุรกิจแบบคนตัวเล็ก ที่ไม่มีเงินทุนมากมาย หรือ ยังอยู่ในวัยเรียน ผมแนะนำให้ไปติดตามน้องได้ตามลิงก์ที่ผมทิ้งเอาไว้ข้างล่างนี้ได้เลยครับ
.
Facebook : https://www.facebook.com/piyachat.butnain.50
Instagram : https://www.instagram.com/imsagetjuon/
Tiktok : http://www.tiktok.com/@imsagetjuon
.
.
.

สังคมคนสร้างธุรกิจจากศูนย์

พ่อนิสัยไม่ดี ทำลายข้าวของ

พ่อขอโทษนะลูก ที่ใช้อารมณ์ ทำลายข้าวของ

พ่อรู้ว่าไม่ดีเลยที่เป็นแบบนี้ พ่อเหนื่อย พ่อเครียด

เราเพิ่งคุยกันเมื่อสองวันก่อน พ่อไม่เคยขออะไรจากลูก แต่วันนี้พ่ออยากขอให้ลูกซื่อสัตย์กับตัวเอง รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง โฟกัสและตั้งใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทำทีอย่าง

เมื่อเวลาเรียน ลูกเปิดYoutube เล่นเกมส์ สมาธิของลูกก็อยู่ที่เกมส์ อยู่กับ Youtube ที่ลูกกำลังดูอยู่

ลูกทำแบบนี้เท่ากับลูกไม่ซื่อสัตย์กับตัวเองและคนอื่น

ไม่ซื่อสัตย์กับตนเองเพราะเอาเวลาเรียนไปทำอย่างอื่น นั่นคือไม่รู้จักหน้าที่ตัวเอง

ไม่ซื่อสัตย์กับครู เพราะหนูเปิดกล้อง ทำให้ครูเข้าใจว่าหนูกำลังเรียน

ลูกจ๋า ลูกอาจคิดว่าสิ่งที่ลูกทำนั้น แค่เรื่องเล็กน้อย ทำไมพ่อต้องโมโหขนาดนี้

แต่หนูรู้หรือไม่ว่า คนเรียนที่ว่าหนัก กับคนหาเงินให้เรียน มันเหนื่อยไม่เหมือนกันนะลูก

เมื่อถึงเวลาเรียน ลูกไม่เรียน ไม่เพียงแค่หนูขาดความรับผิดชอบ แต่นั่นทำให้หนูขาดโอกาสต่างๆไปมากมาย

เมื่อไม่เรียน หนูทำการบ้านไม่ถูก การบ้านไม่เสร็จ ก็ไม่ได้ไปเที่ยว ไม่ได้ไปเล่นกับเพื่อน ไม่ได้ไปทำสิ่งที่อยากทำ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอ นัางหน้าจอคอมนาน ทำให้สุขภาพแย่ลง

เมื่อเรียนไม่ทันเพื่อน ลูกก็จะพลาดโอกาสดีๆ พลาดทุนการเรียน พลาดโอกาสที่จะได้เรียน ที่ดีๆ ซึ่งหนูไม่รู้หรอกว่า พ่อแม่แต่ละคนพยายามที่จะให้หนูเรียนที่ดีๆ เพราะอะไร อีกหน่อยหนูโตขึ้นแล้วหนูจะเข้าใจ ว่าโอกาส คืออะไร?

พ่อพยายามทำทุกอย่าง ให้ครอบครัวเรามีกินมีใช้ อะไรที่หนูต้องการ พ่อพยายามหามาให้ ให้หนูมีคอมได้เรียน ได้ใช้งาน ได้มีเน็ตแรงๆ ได้มีบ้านอยู่สบาย แต่หนูเคยเห็นความมำคัญกับสิ่งที่พ่อทำให้บ้างไหม?

หันไปมองคนที่แย่กว่าเรา เขาพยายามอย่างที่สุด เพืือหาโอกาสเรียน ไม่ไม่มีคอม ไม่มีเน็ต ไม่มีบ้าน แต่พยายามทุกทาง เพื่อให้ได้เรียน ในขณะที่หนูเอง มีพร้อมแทบทุกอย่าง แต่หนูกลับไม่เห็นความสำคัญ พ่อน้อยใจที่เป็นแบบนี้

พ่อผิดเอง ที่ตามใจลูกเกินไป ไม่พยายามสอนให้ลูกรู้จักความลำบาก ลูกจึงมักไม่เห็นคุณค่าของเวลา

พ่อผิดเอง ที่ทำแต่งาน ไม่มีเวลาให้ลูกอย่างเพียงพอ จึงทำให้เป็นแบบนี้

พ่อผิดเอง ที่ใจร้อน วู่วาม ทำนิสัยไม่ดีทุกครั้งเวลาที่โมโห

พ่อผิดเอง ที่ไม่สามารถพูดให้ลูกเข้าใจได้

ต่อไปนี้ เราจะไม่มีคอมใช้ เราจะไม่มีอินเตอร์เน็ต และอีกไม่นาน เราก็จะไม่มีบ้าน

ลูกต้องเรียนรู้ให้ได้ และต้องปรับตัวอยู่ให้ได้นะลูก

พ่อต้องทำแบบนี้ ยอมลงโทษลูกในวันนี้ พ่อเจ็บปวดทุกครั้งที่เป็นแบบนี้

ดีกว่าลูกโดนสังคมลงโทษในวันข้างหน้า ซึ่งลูกคงเจ็บปวดมากกว่า และพ่อคงเจ็บปวดยิ่งกว่าหลายเท่า

พ่อรักหนู จึงทำแบบนี้

พ่อขอโทษนะครับ

จากพ่อนิสัยไม่ดี

แนวคิด 40 ข้อ พ่ออยากสอนลูก

  1. คนจนที่เห็นแก่ตัว จะชอบเรียกร้องเอาเงินเดือน ตำแหน่ง สูงๆ จากบริษัท โดยที่ไม่เคยคิดเลยว่า พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ดีพอหรือยัง ทุ่มเทมากพอหรือยัง
  2. คนจน ส่วนมากมักคิดว่า “ฉันทำไม่ได้” แต่คนรวยกลับคิดว่า “ฉันต้องทำอย่างไรดี”
  3. คนจนส่วนใหญ่ ชอบคิดว่าคนรวยเห็นแก่ตัว ทั้งที่ความจริง คนรวยที่มีน้ำใจนั้นเยอะมาก แต่คนจนที่เห็นแก่ตัว ชอบเอาเปรียบคนอื่นก็มีไม่น้อย ดังนั้น ความเห็นแก่ตัวไม่ได้วัดกันที่ฐานะการเงิน
  4. คนจน เมื่อเจอของที่อยากได้ จะพูดว่า “เราไม่มีปัญญาซื้อหรอก” แต่คนรวยจะตั้งคำถามว่า “ต้องทำอย่างไรถึงจะมีปัญญาซื้อ”
  1. ชีวิตมีสองทางเลือก อย่างแรก ทุ่มเททุกสิ่งเพื่อไปสู่ความสำเร็จที่เราตั้งไว้ อย่างที่สอง ดับฝัน แล้วก้มหน้าทำงานไปวันๆ ไม่ต้องคิดอะไร
  2. พ่อจนสอนว่า “ลูกต้องตั้งใจเรียนนะ จะได้ทำงานบริษัทที่มั่นคง” แต่พ่อรวยสอนว่า “ลูกจงตั้งใจเรียนนะ จะได้ซื้อบริษัทที่มั่นคงได้ในอนาคต”
  3. จำไว้นะลูก การใช้เงินของตัวเอง จะสะท้อนให้เห็นตัวตนว่า เราเป็นคนรวย คนชั้นกลาง หรือคนจนกันแน่
  4. พ่อจนสอนว่า “การรักเงินนั้น เป็นบ่อเกิดความชั่วร้าย” แต่พ่อรวยนั้นสอนว่า “การขาดเงินต่างหาก ที่เป็นบ่อเกิดของความชั่วร้าย”
  5. พ่อจน จะไม่พูดเรื่องเงินตอนกินข้าว ส่วนพ่อรวย ชอบคุยเรื่องเงินขณะกินข้าว
  6. พ่อจนสอนว่า “คนรวยควรเสียภาษีมากๆ เพื่อช่วยคนที่เขาไม่มี” แต่พ่อรวยสอนว่า “ภาษีนั้นให้รางวัลคนขี้เกียจ ทำโทษคนขยัน”

11. พ่อจนบอก “พ่อไม่รวยเพราะพ่อมีลูกไงล่ะ” แต่พ่อรวยบอก “พ่อต้องรวยเพราะว่าพ่อมีลูก”

12. พ่อจนบอก “เรื่องเงินทอง ต้องปลอดภัยไว้ก่อน” แต่พ่อรวยบอก “ต้องรู้จักวิธีจัดการกับความเสี่ยง ที่กำลังจะเกิดขึ้น”

13. พ่อจน “ประหยัดทุกบาทเพื่อสะสมเงิน” แต่ว่าพ่อรวย “ใช้ทุกบาททุกสตางค์ เพื่อการลงทุนให้เงินงอกเงย”

14. พ่อจนบอกว่า “บ้านเป็นการลงทุน เป็นทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุด” แต่พ่อรวยกลับบอกว่า “บ้านไม่ใช่การลงทุน แต่มันคือหนี้สินที่ใหญ่ที่สุดต่างหาก”

15. พ่อจน ชำระหนี้เป็นสิ่งแรก พ่อรวย ชำระหนี้เป็นสิ่งสุดท้าย (แต่ไม่ใช่หนีหนี้นะ)

16. พ่อจนบอก “เรียนเพื่อให้ได้เงินเดือนสูงๆ นะลูก” แต่พ่อรวยบอก “เรียนเพื่อรู้วิธีใช้เงินทำงานแทนเรานะลูก”

17. พ่อจนสอนวิธีเขียนประวัติส่วนตัว เขียนยังไงให้ได้งาน แต่พ่อรวย สอนวิธีเขียนแผนธุรกิจ แบบใดจึงสร้างงาน

18. พ่อจนบอก “ชาตินี้ไม่มีวันรวยหรอก” พ่อรวยบอก “คนรวยเขาไม่คิดเช่นนี้นะ”

19. พ่อจนบอก “เงินไม่สำคัญหรอกลูก” พ่อรวยบอก “คนที่พูดแบบนั้น ทุกวันนี้ยังต้องทำงานงกๆ หาเงินอยู่เลย”

20. พ่อจนบอก “พ่อไม่ทำงานเพื่อเงิน” พ่อรวยบอก “พ่อใช้เงินทำงานให้พ่อ”

21. ถ้าอยากทำงานเพื่อเงิน ไปเรียนเอาที่โรงเรียนก็ได้ แต่หากต้องการให้เงินทำงานแทนเรา ต้องเรียนรู้จากชีวิตจริง

22. การเรียนรู้วิธีใช้เงินทำงานแทนเรา ต้องเรียนรู้กันอยู่ตลอด ไม่มีจบสิ้น นั่นเพราะโลกเราเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

23. กระแสเงินสด เป็นเรื่องราวที่บอกเล่าถึง วิธีจัดการกับเงินของแต่ละคน

24. คนรวย ให้ความสำคัญกับทรัพย์สิน แต่สำหรับคนทั่วไป สนใจแค่รายได้ในแต่ละเดือน

25. อย่าให้อารมณ์เป็นตัวกำหนดการกระทำของเรา ควรใช้สมองกำหนดการกระทำดีกว่า

26. การได้งานทำ คือการแก้ปัญหาระยะสั้น ทุกคนรอเพียงวันเงินเดือนออก ปล่อยให้เงินมีอำนาจเหนือชีวิต พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า มีวิธีใดที่จะได้เงินมากกว่านี้

27. ธุรกิจใดแก้ปัญหาให้ผู้คนได้มาก ธุรกิจนั้นก็จะยิ่งร่ำรวย

28. ถังแตก มันเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” แต่ความจน นั้นมัน “ถาวร” (หรือจนกว่าเราจะเปลี่ยนวิธีคิด)

29. ทรัพย์สิน เป็นอะไรก็ตามที่ทำให้เงินเข้ากระเป๋า แต่หนี้สิน คือสิ่งที่ทำให้เงินไหลออกไปจากกระเป๋าเรา

30. โรงเรียนมีไว้ผลิตลูกจ้างชั้นดี ไม่ได้มีไว้ผลิตนายจ้างชั้นเยี่ยม

31. การมีเงินเยอะไม่สำคัญเท่า การรู้จักวิธีรักษาให้มันอยู่กับเราไปตลอด

32. พ่อจน เน้นให้อ่านตำราเรียน ส่วนพ่อรวย เน้นให้ลูกเรียนรู้เรื่องการเงิน

33. คนรวย เพิ่มทรัพย์สิน คนทั่วไป เพิ่มหนี้สิน เพราะเข้าใจว่าเป็นทรัพย์สิน

34. เครื่องวัดฐานะทางการเงิน คือ หากเราหยุดทำงาน จะมีเงินใช้ได้อีกนานแค่ไหน

35. อุปสรรคในเรื่องเงิน ส่วนใหญ่มาจาก เรายอมทำงานให้ความฝันคนอื่น ไม่ได้ทำงานเพื่อความฝันของตัวเอง

36. คนทั่วไปไม่กล้าเสี่ยงมากนัก จึงทำให้พวกเขายึดติดกับตำแหน่ง หน้าที่การงานและเงินเดือน นั่นเพราะเขารู้สึกว่า มันปลอดภัยและมั่นคงที่สุด

37. เมื่อเราทำงานเพื่อเงิน อำนาจเราจะอยู่ในมือของเขา แต่หากเราใช้เงินทำงาน อำนาจจะอยู่ในมือของเรา อยากมีชีวิตแบบไหน เราเป็นคนกำหนดเอง

38. หลายคนไม่รู้สึกถึงความต่าง ระหว่างเราทำธุรกิจอะไร กับเราทำอาชีพอะไร

39. คนรวยซื้อความสบายทีหลัง แต่คนทั่วไปจะซื้อความสบายเป็นสิ่งแรก

40. จงสร้างฐานะ ด้วยการลงทุนในทรัพย์สินที่สร้างรายได้ ใช้เงินทำงานแทนเรา และควบคุมไม่ให้เงินไหลออกไปทางอื่น